อย่าปล่อยให้ลูกเล่นบันไดเลื่อนโดยลำพัง ... ก่อนหน้านี้ คุณพ่อคุณแม่อาจจะเคยได้ยินคำเตือนเกี่ยวกับพวกรองเท้า หรือเสื้อผ้าติดในร่องบันไดเลื่อนกันบ้าง แต่คลิปที่จะเอามาฝากนี้ ไม่นึกว่าราวจับบันไดเลื่อนก็จะอันตรายได้ขนาดนี้ ดูภาพแล้วอาจจะหวาดเสียว แต่จากข่าวที่ตามอ่านดู เด็กปลอดภัยนะครับ แม้จะตกลงมาถึง 3 ชั้น
อย่าปล่อยลูกเล่นราวจับบันไดเลื่อนตามลำพัง
Tips ช่วยลูกปลอดภัย Internet

Internet เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์หลายๆ เครือข่ายที่มีการเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน โดยที่คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะสามารถเชือมต่อถึงกันได้ทั่วโลก Internet จึงเป็นแหล่งเรียนรู้ขนาดใหญ่ ที่รวบรวมความรู้ทุกๆด้าน การนำอินเทอร์เน็ตมาใช้ในการศึกษาสามารถทำได้หลายรูปแบบ
- เพื่อทำการติดต่อสื่อสาร ส่งการบ้าน ส่งรายงาน
- เพื่อสืบค้นข้อมูล
- เพื่อเรียนทางไกล สามารถเรียนผ่านทางเว็บ E-Learning ได้
- การศึกษาวัฒนธรรมและภาษาที่หลากหลาย
- เปิดโลกทัศน์ของเด็กให้กว้างขึ้น
- สะดวก และประหยัด
อัลตร้าซาวด์ ระหว่างตั้งครรภ์

อัลตร้าซาวด์ หรือ การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงขณะตั้งครรภ์ มีความปลอดภัยต่อทารกในครรภ์ เพราะไม่มีการใช้รังสี และไม่เคยมีการศึกษาอะไรที่แสดงให้เห็นว่า ทารกที่อยู่ในครรภ์ซึ่งได้รับการทำการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงนั้น เกิดความผิดปกติใดๆ แต่ก็มีบางการศึกษาที่สงสัยว่า การทำอัลตร้าซาวด์ อาจจะทำให้ทารกที่คลอดออกมาถนัดซ้ายมากขึ้น เรื่องนี้ยังไม่มีการยืนยันชัดเจน แต่ก็ไม่ได้แปลว่า การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงขณะตั้งครรภ์ จะไม่มีความเสี่ยงเสียทีเดียว แต่ทั้งนี้ความเสี่ยงที่ว่า เป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นทางทฤษฎี (ในทางปฏิบัติไม่เคยพบ) ขอยืนยันว่าไม่เคยมีรายงานอันตรายที่เกิดจากการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงแต่อย่างใด แต่เนื่องจากการผ่านพลังงานคลื่นเสียงอาจจะมีผลในทางทฤษฎีบางอย่างได้ คำแนะนำจึงให้ทำเท่าที่จำเป็น คราวนี้มาดูความจำเป็นของแพทย์ที่ทำดีกว่า ว่าแพทย์ทำการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงเพื่ออะไรบ้าง
- เพื่อดูอายุครรภ์
- เพื่อตรวจดูความพิการแต่กำเนิดของทารก
- เพื่อตรวจติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
- เพื่อหาสาเหตุ กรณีเมื่อเกิดความผิดปกติต่างๆ
- เหตุผลอื่นๆ เช่น ต้องการดูเพศทารก เป็นต้น
การทำอัลตร้าซาวด์เพื่อดูอายุครรภ์ ไม่ใช่เพื่อใช้แทนอายุครรภ์จากการคำนวณ หากจำวันที่ประจำเดือนมาครั้งสุดท้ายได้ และประจำเดือนมาเป็นรอบๆที่สม่ำเสมอ (อาจคลาดเคลื่อนได้บ้างนิดหน่อย) อย่างนี้การคำนวณอายุครรภ์จะแม่นยำกว่า แต่ถ้าจะทำอัลตร้าซาวด์เพื่อดูอายุครรภ์ ก็สามารถทำเมื่อใดก็ได้แต่...ความแม่นยำจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ช่วงเวลาที่ทำ
การทำอัลตร้าซาวด์เพื่อตรวจดูความพิการแต่กำเนิดของทารกในครรภ์ ส่วนใหญ่จะทำเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 18 สัปดาห์ขึ้นไปแต่มีการตรวจบางอย่างที่จะทำเร็วกว่านี้ เช่นการตรวจความหนาของผิวหนังระดับคอ (Nuchal thickness) จะทำเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 12 สัปดาห์ ซึ่งเป็นการตรวจคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ (Down Syndrome) อย่างหนึ่ง
การทำอัลตร้าซาวด์เพื่อตรวจติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ จะทำเมื่อคิดว่าทารกตัวค่อนข้างเล็ก (ทราบอายุครรภ์แน่นอนแล้ว) หรือมีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น มีภาวะครรภ์เป็นพิษ เป็นโรคหัวใจ ซึ่งอาจส่งผลทำให้ทารกในครรภ์มีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติได้ กรณีเหล่านี้แพทย์จะทำการตรวจมากกว่าหนึ่งครั้ง เพื่อที่จะได้เปรียบเทียบการเจริญเติบโตหรือเอาค่าการเจริญเติบโตที่ได้ไป พล็อตกราฟแสดงการเจริญเติบโต
การตรวจอัลตร้าซาวด์เพื่อหาสาเหตุของความผิดปกติ หมายถึงมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น แพทย์จึงใช้อัลตร้าซาวด์เพื่อประกอบการวินิจฉัย ที่เจอบ่อยๆ เช่น มีเลือดออกผิดปกติขณะตั้งครรภ์ ถ้าอายุครรภ์น้อยๆ แพทย์ก็จะกังวลว่าเป็นการตั้งครรภ์นอกมดลูก ท้องลม หรือทารกเสียชีวิตแล้วกำลังจะแท้ง ถ้าอายุครรภ์มากมากหน่อยก็จะสงสัยเรื่องรกเกาะต่ำ หรือรกลอกตัวก่อนกำหนด กรณีเหล่านี้จะทำเมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ ถ้าไม่มีก็ไม่จำเป็นต้องทำ
ส่วนสาเหตุอื่นๆ เช่น ทำอัลตร้าซาวด์เพื่อดูเพศทารก เพราะส่วนใหญ่คุณแม่ที่ตั้งครรภ์เข้าใจว่าการทำอัลตร้าซาวด์ทำเพื่อดูเพศให้เท่านั้น การทำเพื่อดูเพศทารกในครรภ์เป็นเรื่องที่มีทั้งข้อดีและข้อไม่ดี ถ้าจะทำส่วนใหญ่ก็จะต้องอายุครรภ์ 16-18 สัปดาห์ขึ้นไปครับ ทั้งนี้นอกจากขึ้นอยู่กับอายุครรภ์แล้ว ยังขึ้นอยู่กับความชำนาญของผู้ทำ ความละเอียดของเครื่อง และท่าของทารก บางรายแพทย์ที่ชำนาญบางท่านเห็นเพศทารกตั้งแต่อายุครรภ์น้อยกว่า 16 สัปดาห์ก็มี
ฝึกลูกให้รู้จักดูแลตัวเองให้ประโยชน์เกินร้อย
ฝึกลูกให้รู้จักดูแลตัวเองให้ประโยชน์เกินร้อย/ดร.แพง ชินพงศ์
ในการเลี้ยงลูกนอกจากเราจะคำนึงถึงการอบรมบ่มนิสัยและการส่งเสริมความฉลาดทางด้านสติปัญญาแล้ว
การให้ความใส่ใจในเรื่องของความสะอาดของลูกก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
เพราะความสะอาดนำมาสู่ร่างกายที่แข็งแรง เมื่อร่างกายแข็งแรงแล้วก็จะสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ดีตามมา
แต่ก็ใช่ว่า คุณพ่อคุณแม่ จะต้องทำให้ทุกอย่างจนเคยตัว ควรฝึกให้ลูกๆ ได้รู้จักดูแลรักษาร่างกายของตนตั้งแต่เล็กๆ
ซึ่งการฝึกลูกให้ดูแลตัวเองให้สะอาดจนติดเป็นนิสัยเช่นนี้ นอกจากจะทำให้ลูกเป็นเด็กที่รักความสะอาด
รักสุขภาพของตนเองแล้ว ยังเป็นการฝึกการช่วยเหลือตนเอง และฝึกวินัยในการดำเนินชีวิตของลูกด้วย
ซึ่งการฝึกให้ลูกดูแลความสะอาดของตนเองนั้น คุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกได้ดังนี้
1.ดูแลความสะอาดของร่างกาย
คุณพ่อคุณแม่ต้องฝึกให้ลูกอาบน้ำวันละ 2 ครั้ง คือตอนเช้าหลังตื่นนอนและตอนเย็นก่อนนอน
โดยให้ลูกถูสบู่ให้ทั่วทุกซอกทุกมุมของร่างกาย และล้างคราบสบู่ออกจากตัวให้หมดจด
เมื่อล้างตัวเสร็จแล้วให้รีบเช็ดตัวให้แห้งและทาแป้งเพื่อความสบายตัว
ซึ่งควรมีอุปกรณ์เครื่องใช้สำหรับอาบน้ำของลูก ได้แก่
- อ่างอาบน้ำและขันขนาดเล็ก หากใช้ฝักบัว ควรดูแลเรื่องของระดับความแรงของน้ำไม่ให้น้ำแรงเกินไป และหากใช้เครื่องทำน้ำอุ่น ต้องระวังไม่ให้น้ำร้อนเกินไปด้วย
- สบู่สำหรับเด็ก ควรเลือกใช้สบู่สำหรับเด็กโดยเฉพาะ เพราะผิวของเด็กบอบบาง สบู่ของผู้ใหญ่มีส่วนผสมของสารเคมีมากเกินไป อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง หรือหากเข้าตาก็เป็นอันตรายต่อดวงตาได้เช่นกัน
- แป้งเด็ก แป้งสำหรับเด็กจะมีเนื้อเนียนละเอียด ผ่านการสเตอริไลส์เพื่อความสะอาดปลอดภัยต่อผิวเด็ก
- ผ้าเช็ดหน้าและเช็ดตัวที่แห้งสะอาด มีขนาดที่เหมาะสมกับตัวลูก ควรแยกผ้าเช็ดตัวและผ้าเช็ดหน้าเป็นคนละผืนไม่ควรให้ลูกใช้ปะปนกัน
2. ดูแลความสะอาดของฟัน
การดูแลเรื่องการแปรงฟันของลูกเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เพราะเด็ก ๆ ส่วนมากไม่ค่อยชอบแปรงฟัน
ส่วนใหญ่มักจะถูแปรงสีฟันแรง ๆ ไปมาไม่กี่ทีก็เป็นอันเสร็จพิธี บางคนขอแค่อมน้ำแล้วบ้วนทิ้งก็พอแล้ว
แม้หลายคนจะชอบดูพ่อแม่แปรงฟัน อยากเลียนแบบ แต่พอตัวเองทำเอง ก็แค่แป๊บเดียว
เราจึงมักจะเห็นเด็กหลายคนฟันผุบ้างฟันดำบ้าง คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
คือหลังตื่นนอนตอนเช้าและก่อนเข้านอน และสอนให้ลูกบ้วนปากทุกครั้งหลังอาหาร
การฝึกให้ลูกแปรงฟันควรทำอย่างถูกวิธี ดังนี้
- แปรงฟันอย่างน้อยครั้งละ 2 นาที
- แปรงฟันให้ทั่วทุกซี่ ทั้งด้านนอกและด้านในของฟัน อีกทั้งไม่ลืมที่จะแปรงลิ้นด้วย
- ฟันบนแปรงลงล่าง ฟันล่างแปรงขึ้นบน
- อย่าให้ลูกแปรงฟันแรงเกินไป เพราะจะทำให้เหงือกอักเสบ เป็นแผลเลือดออกและฟันสึกได้
ซึ่งอุปกรณ์เครื่องใช้ในการแปรงฟันของลูก ได้แก่
- แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่มและมีขนาดเหมาะกับวัยของเด็ก ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกมากมายหลายช่วงอายุ แถมยังมีลายการ์ตูนอีกหลายแบบให้ลูกเลือก
- ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ เพราะฟลูออไรด์เป็นสารป้องกันฟันผุ
- แก้วน้ำขนาดเหมาะมือ เพื่อให้ลูกหยิบจับได้ง่าย
3.ดูแลความสะอาดของผม
ผมเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่สกปรกง่ายและเป็นแหล่งบ่มเพาะโรคภัยได้ดีอีกที่หนึ่งเลยทีเดียว
แค่ลูก ๆ วิ่งเล่นเหงื่อออก ผมจะเปียกชื้น และหากไม่ดูแลสระผมก็จะเกิดความหมักหมม ทำให้ศีรษะเหม็น เป็นชันตุหรือเป็นเหาได้
คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกสระผมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 -3 ครั้ง แต่หากต้องทำกิจกรรมที่เลอะเทอะหรือสกปรก ก็ควรสระผมทุกครั้งหลังการเล่นเพื่อความสะอาดและเพื่อสุขภาพที่ดีของศีรษะ
ซึ่งอุปกรณ์เครื่องใช้ในการสระผมของลูก ได้แก่
- ยาสระผมสำหรับเด็ก จะไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อหนังศีรษะและดวงตาของลูกเมื่อยาสระผมเขาหา แต่ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ควรระวังอีกอย่างหนึ่งคือเวลาลูกล้างผมต้องคอยระวังดูแลไม่ให้น้ำเข้าหูลูก โดยอาจให้ลูกใช้น้ำทีละนิดค่อยๆล้างจนสะอาดก็ได้
- ผ้าเช็ดผมที่มีขนาดเหมาะกับตัวเด็ก
- แปรงหรือหวีสำหรับเด็ก ไว้สำหรับหวีเมื่อผมแห้งหมาดหรือแห้งสนิทแล้วเพื่อไม่ให้ผมลูกพันกัน คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรให้ลูกใช้หวีสำหรับผู้ใหญ่เพราะอาจมีความแข็งซึ่งทำให้เวลาหวีอาจถูกหนังศีรษะของลูกทำให้เกิดเป็นแผลได้
4.ดูแลความสะอาดของเสื้อผ้า
คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกรู้จักดูแลรักษาความสะอาดของเสื้อผ้าของเขาเอง โดยให้ลูกระมัดระวังเวลาสวมใส่
เช่นเวลากินขนมหรือกินไอศกรีมแล้วมือเปรอะก็สอนให้ลูกเช็ดมือที่กระดาษชำระหรือผ้าเช็ดมือ ไม่ควรเช็ดที่เสื้อหรือกางเกง
หรือเมื่อลูกใช้เสื้อผ้าเสร็จแล้วควรสอนให้เขานำเสื้อผ้าไปใส่ตะกร้าอย่าให้วางเรี่ยราดบนพื้นหรือหมกเอาไว้
เพราะจะทำให้เสื้อผ้าสกปรกและทำให้เกิดเชื้อโรคได้
นอกจากการฝึกให้ลูกดูแลความสะอาดส่วนต่างๆตามที่กล่าวมาแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรสอนและฝึกให้ลูก
เห็นความสำคัญของการดูแลรักษาสุขภาพของตนอยู่เสมอ เพื่อสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงของลูกเอง ดังนี้
- ฝึกให้ลูกออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาจเป็นการวิ่งเล่น หรือกระโดดโลดเต้นหรือเล่นกีฬา เพื่อให้กล้ามเนื้อของลูกได้เคลื่อนไหว ทำให้ร่างกายแข็งแรงและมีความสมบูรณ์ตามวัย และหากคุณพ่อคุณแม่ ร่วมออกกำลังกายไปด้วย ก็จะได้ประโยชน์กับตัวเองด้วย
- ฝึกให้ลูกรู้จักการหลีกเลี่ยงและการแพร่เชื้อโรคต่างๆ เช่น เวลาไอหรือจามต้องปิดปาก การล้างมือก่อนและหลังรับประทานอาหาร การใช้ช้อนกลางตักอาหาร การใช้ผ้าปิดปากและจมูกเมื่ออยู่ใกล้คนป่วย ไม่เล่นสิ่งของที่สกปรก
- ฝึกให้ลูกรับประทานอาหารครบ 5 หมู่และดื่มน้ำที่สะอาด และไม่รับประทานลูกอมและขนมหวานมากเกินไป เพราะจะทำให้ฟันผุและมีน้ำตาลมากซึ่งอาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนหรือโรคเบาหวานได้
- ฝึกให้ลูกพักผ่อนอย่างเพียงพอ โดยไม่ให้นอนดึกจนเกินไปและควรได้นอนอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง
วิธีง่าย ๆ เหล่านี้เป็นวิธีที่จะทำให้ลูกของคุณพ่อคุณแม่เป็นเด็กที่มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง
มีพัฒนาการที่ดีสมวัยและมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
ดังนั้น หากไม่อยากให้ลูกเราขี้โรค เจ็บป่วยง่าย ร่างกายไม่แข็งแรงเติบโต
ควรฝึกให้ลูกได้ดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้เพื่ออนาคตที่ดีของลูกเอง
เรียบเรียงจาก : http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000150327
เสียงหัวเราะ..กลยุทธ์ช่วยลูกเติบโตดี
เสียงหัวเราะ...ดัชนีความสุขและการเติบโตของลูก
ถ้าเจ้าของเสียงหัวเราะคือลูกน้อยของคุณ ผลที่ได้ก็ไม่ต่างจากผู้ใหญ่หรอกค่ะ แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือเสียงหัวเราะของลูกเปรียบเหมือนเสียงสวรรค์ของพ่อแม่ เพราะเป็นตัวชี้วัดอย่างหนึ่งว่าลูกกำลังมีความสุข
ขณะเดียวกันก็สื่อนัยว่า ลูกจะเป็นเด็กที่มีพัฒนาการทางอารมณ์และการเรียนรู้ที่ดีอีกด้วย เพราะเด็กจะใช้เสียงหัวเราะและอารมณ์ขันเพื่อผ่อนคลายความรู้สึกตึงเครียด และสร้างบรรยากาศให้สนุกสนานเกิดขึ้นภายในจิตใจ ทั้งยังได้เรียนรู้วิธีที่จะสื่ออารมณ์ในทางบวกผ่านเสียงหัวเราะ ทำให้ฮอร์โมนโดพามีน (Dopamine) ซึ่งเป็นสารที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ความสุข การเคลื่อนไหวและความจำหลั่งออกมา ส่งผลให้เด็กมีความสุขและไปต่อต้านกับความเครียด จนทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ในร่างกายลดลงและเจริญเติบโตได้ตามปกติ
จะว่าไปฮอร์โมนคอร์ติซอลก็ไม่ได้เป็นผู้ร้ายที่ต้องกำจัดออกไปจากร่างกายหรอกนะคะ เพราะถ้ามีในระดับที่พอดีกลับเป็นแรงเสริมให้เด็กๆ มุ่งมั่นทำสิ่งต่างๆ จนประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย แต่ถ้ามีมากเกินก็ส่งผลร้ายต่อร่างกายได้ เพราะจะทำให้เกิดอาการเครียด การเจริญเติบโตไม่ดี โดยเฉพาะสมอง และอาจทำให้เกิดบางโรค เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็ง กระเพาะอาหาร เป็นต้น ซึ่งวิธีลดระดับคอร์ติซอลนั้นง่ายมากค่ะ เพียงหาหนทางให้ลูกหัวเราะ ให้ฮอร์โมนโดพามีนหลั่งออกมาค่ะ
พอนึกออกแล้วนะคะ ว่าถ้าวันหนึ่งๆ ลูกไม่หัวเราะหรือมีอารมณ์ขันเลย จะเกิดอะไรขึ้น ที่ชัดเจนคือ ลูกจะเครียด ไม่มีความสุข การเจริญเติบโตไม่ดี มองโลกในแง่ร้าย ไม่ไว้ใจใคร ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง และมีบุคลิกภาพที่ไม่ดีตามมาอีกด้วยค่ะ
เสียงหัวเราะสำคัญต่อลูกในท้อง
สำหรับคุณแม่ท้องจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างเสียงหัวเราะ หรือทำให้ตัวเองอารมณ์ดีค่ะ เพราะนั่นหมายถึง ลูกน้อยจะได้รับอานิสงส์จากเสียงหัวเราะของคุณไปด้วย เพราะถ้าแม่ท้องมีอารมณ์ขันหรือหัวเราะอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของระบบทางเดินหายใจทั้งต่อตัวแม่และลูกน้อยในครรภ์ค่ะ ซึ่งเด็กที่อยู่ในท้องของคุณแม่ที่อารมณ์ดี เมื่อคลอดออกมาจะเติบโตดี อันเป็นจุดเริ่มต้นของความสามารถในการเรียนรู้ทั้งหมดค่ะ
ที่สำคัญช่วง 0-6 ปี สมองของลูกเจริญเติบโตดีที่สุด จึงต้องต่อยอดการเรียนรู้ด้วยการเสริมกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ลูกอารมณ์ดี เพราะเมื่อลูกสนุกและอารมณ์ดีแล้ว ทุกอย่างรอบตัวก็น่าสนุกและน่าเรียนรู้ไปหมด แม้ในยามเจอปัญหาก็กลายเป็นเรื่องท้าทายให้หาทางออกและใช้ความคิดสร้างสรรค์ค่ะ
กลยุทธ์จุดอารมณ์ขัน
เบบี้ 0-1 ปี
วัยนี้ลูกสามารถสร้างเสียงหัวเราะและอารมณ์ขันได้ง่ายมาก ไม่ต้องไปสรรหาวิธีการอะไรให้ยุ่งยาก เพียงแค่เราเอาใจใส่และทำทุกช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันให้มีแต่ความสุข เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม ทั้งร่างกายและจิตใจ ช่วยให้เขาได้เรียนรู้โลกกว้าง ร่างกายแข็งแรง มีพัฒนาการด้านอารมณ์ที่ดีและสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้
กิจกรรมที่คุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างเสียงคิกคักให้เจ้าตัวเล็กได้นั้นมีมากมายค่ะ ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกหยิบจับอะไรมาเล่นกัน มาลองดูนะคะ
- จ๊ะเอ๋...เบบี้ เป็นกิจกรรมยอดฮิตครองแชมป์โลกก็ว่าได้ เพราะพ่อแม่ทุกคนต้องเล่นกับลูกแน่นอนค่ะ สามารถเรียกความสนใจเจ้าตัวเล็กให้รู้จักมักคุ้นกับใบหน้าของคนรอบๆ ตัวด้วยค่ะ อาจใช้ผ้าอ้อมของลูก ตุ๊กตา หรือมือของคุณเองก็สามารถสร้างเสียงหัวเราะให้ลูกได้แล้วค่ะ
- เล่นปูไต่ วิธีนี้ก็สนุกไม่เบา ใช้ปลายนิ้วมือของแม่หรือพ่อสัมผัสที่ท้องลูกเบาๆ ลูกจะรับรู้ถึงสัมผัสนั้นได้ แค่นี้ก็ทำให้ลูกรู้สึกจั๊กจี๋และหัวเราะออกมาได้แล้ว
- เอื้อมให้ไกลไปให้ถึง เพียงแค่คุณเอาของเล่นที่ลูกชอบ วางให้ห่างจากมือลูกสักนิดเจ้าตัวเล็กจะคืบคลานทีละนิดๆ เพื่อเอื้อมหยิบของเล่นชิ้นนั้น วิธีนี้สร้างทั้งเสียงหัวเราะและฝึกให้เขาได้บริหารกล้ามเนื้อแขน ขา และนิ้วมือด้วย
- ยิ้มให้กระจก ลองหากระจกที่มีลวดลายสีสันสดใสให้ลูกส่องดูตัวเองสิคะ แล้วทำท่าทางต่างๆ ให้ลูกทำตาม แค่เขาเห็นตัวเองในกระจกก็ยิ้มไม่หุบแล้วค่ะ และถ้ามีท่าตลกๆ ให้เขาเห็นหรือทำตาม เขาจะหัวเราะร่าเลยเชียว
- ตุ๊กตาหนูหายไปไหน นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ฮิตไม่เบาเช่นกัน เพียงเอาของที่ลูกโปรดปรานไปแอบไว้สักพัก แล้วค่อยๆ เอาออกมาทำท่าตกใจให้เขาเห็น
- โมบายกรุ๊งกริ๊ง เด็กเล็กบางคนแค่เห็นโมบายแกว่งไปมา ก็อารมณ์ดีนอนยิ้มกริ่มแล้ว ยิ่งปล่อยให้เขาได้เอื้อมคว้าจับด้วย ก็จะยิ่งชอบใจค่ะ
- แย่งของเล่น อันนี้ก็ใช้ของเล่นชิ้นโปรดของลูกเช่นกัน แต่คุณต้องแย่งของเล่นจากลูกด้วยการแกล้งดึงออกจากมือลูกแล้วก็ปล่อย ...อย่าแย่งจริงล่ะ เดี๋ยวได้เสียงร้องไห้โฮโฮมาแทนเสียงหัวเราะฮ่าฮ่า จะหาว่าไม่บอกกันก่อน
- ไล่จับหนู การเล่นไล่จับกับลูกก็สร้างเสียงหัวเราะได้ ลูกอยู่ในวัยคลาน คุณก็คลานไล่ตามลูก เจ้าตัวเล็กจะรีบคลานหนีไปพร้อมๆ กับส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก วิธีนี้ทำให้กล้ามเนื้อแขน ขา และมือแข็งแรงขึ้นด้วยค่ะ
- เป่าพุงป่อง เล่นแบบนี้ก็สนุกไม่แพ้กัน เพราะสร้างได้ทั้งเสียงหัวเราะและเสียงดังจากการเป่า เสร็จแล้วก็แกล้งทำสะดุ้งตกใจเมื่อมีเสียงดัง หรืออาจทำท่าทางแปลกๆ ให้เขาดูก็ได้ค่ะ
- บินเหมือนนก เป็นการเล่นอีกแบบหนึ่งที่สร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้ลูกได้ไม้แพ้วิธีอื่นๆ เพียงคุณอุ้มลูกให้นอนคว่ำ มือข้างหนึ่งจับที่หน้าอกและมืออีกข้างหนึ่งจับที่ช่วงขา แล้วพาเขาบินไปพร้อมๆ กัน เท่านี้เจ้าตัวเล็กก็ยิ้มร่าแล้วค่ะ
- ขี่ม้าชมเมือง ชื่อนี้คุณอาจไม่คุ้นเคย แต่ถ้าบอกวิธีการแล้วคุณต้องร้องอ๋อ...วิธีก็มีอยู่ว่าเวลาที่คุณจะเล่นกับลูกต้องนอนหงายก่อน จากนั้นให้ชันเข่าขึ้นตั้งตรง เข่าชิดกัน อุ้มเจ้าตัวเล็กไปวางไว้ที่หลังเท้าให้ตัวลูกแนบกับเข่า แล้วคุณก็ยกเท้าขึ้นลงๆ คุณอาจกางแขนลูกออกทั้ง 2 ข้าง พร้อมกับยกขาขึ้นค่ะ
ขี่คอบิน เพียงคุณอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นขี่คอ กางแขนของลูกออกแล้วพาเขาบินไปด้วยกัน แต่ต้องระวังความปลอดภัยให้ลูกด้วยนะคะ - เหินฟ้า ใช้มือ 2 ข้างจับตัวลูกชูขึ้น-ลง ทำอย่างนี้ซ้ำ 2-3 ครั้ง ครั้งแรกเขาอาจจะตกใจแต่เมื่อทำอีก คราวนี้ลูกจะสนุกและหัวเราะร่วนเลยล่ะค่ะ
เสื้อผ้าแสนสนุก หลังอาบน้ำเสร็จขณะที่คุณจะแต่งตัวให้เขา คุณก็นำเสื้อผ้าเหล่านั้นมาสร้างเสียงหัวเราะให้ลูก ด้วยการนำเสื้อผ้ามาสวมที่มือคุณแล้วเต้นไปตามจังหวะเพลงที่คุณร้อง หรืออาจจะแต่งเป็นนิทานสักเรื่องหนึ่งก็ได้ หรืออาจใช้เสื้อผ้าไปจั๊กจี๋ลูกแทนมือก็ได้อีกเช่นกัน
ตีได้ตีดี ไม่ได้ให้ตีลูกนตัวเอง หมายถึงให้หาเครื่องดนตรีสำหรับเด็ก ที่สามารถตีหรือเคาะให้เกิดเสียงได้ จากนั้นก็ลองสาธิตให้เจ้าตัวเล็กดู แค่เจ้าตัวเล็กได้ยินเสียงก็รีบคว้าของจากมือคุณแล้วล่ะค่ะ
[ที่มา: นิตยสารรักลูก,http://www.sudrak.com ]
ใกล้คลอดแล้ว
ส่วนใหญ่แล้วหมอเค้าก็อยากให้เราคลอดเองตามธรรมชาติ
เพราะการคลอดเป็นเรื่องธรรมชาติ และจำทำให้คุณแม่ฟื้นตัวได้ดีกว่า
คราวนี้ก็เป็นกังวลว่าเมื่อไหร่ที่เราต้องไป โรงพยาบาล ไปห้องคลอดได้
เจ็บท้องคลอด เค้ามีเจ็บจริง กับเจ็บเตือน
เจ็บเตือน ก็บอกแล้วว่าเตือน ไม่ใช่ของจริง อาการเจ็บก็เหมือนปวดท้องประจำเดือน
เจ็บเป็นพักๆๆ แต่จะไม่สม่ำเสมอ นอนพักแล้วจะดีขึ้น ไม่มีอาการอื่นร่วม
ส่วนเจ็บครรภ์จริง ก็เจ็บแบบเดียวกัน แต่จะถี่ขึ้น แรงขึ้นเรื่อยๆ
บางครั้งก็อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีมูกเลือด มีน้ำเดิน
แต่ถ้าไม่มีอาการเจ็บครรภ์ แล้วมีน้ำเดิน มีมูกเลือด ก็ให้รีบไป โรงพยาบาลได้เลย
ไม่ต้องรอ สรุปแล้ว ถ้ามีอาการเจ็บครรภ์จริง และ หรือมีมูกเลือด
มีน้ำเดินให้รีบไปติดต่อห้องคลอดเลย
ของที่ต้องเตรียมไปสำหรับนอนโรงพยาบาล อาจเตรียมตั้งไว้ก่อนได้เลย
ฉุกเฉินก็ หิ้วไปได้ทันที ที่สำคัญลืมไม่ได้เด็ดขาด คือสมุดฝากครรภ์
ส่วนอย่างอื่นก็จะเป็นของใช้ส่วนตัวสำหรับคุณแม่ ได้แก่ เสื้อผ้า
ชุดชั้นในสำหรับใส่กลับ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน แป้ง หวี ผ้าอนามัย
(ผ้าอนามัยสำหรับช่วงหลังคลอด จะเป็นแบบห่วง เนื่องจากไม่ต้องใช้ชั้นใน)
และของใช้สำหรับเจ้าตัวเล็ก ได้แก่ เสื้อเด็กอ่อน ผ้าอ้อม ถุงมือ
ผ้าขนหนูผืนใหญ่หน่อยสำหรับห่อตัว
ของบางอย่าง อาจจะไม่สะดวก หากจะไหว้วานคุณพ่อ หรือญาติ ไปซื้อระหว่างเข้ารพ.
ดังนั้น หากเตรียมตัว จัดใส่กระเป๋า พร้อมไว้เลย ก็ย่อมสะดวกกับทุกฝ่าย
ถึงกำหนดคลอดแล้ว ยังไม่มีอาการจะคลอดเลย
สำหรับคุณแม่ที่คลอดเองก็คงเป็นกังวลว่าถึงกำหนดคลอดที่หมอบอกแล้ว
แต่ไม่มีวี่แววว่าจะตัวเล็กจะออกมาเลย ไม่ต้องเป็นกังวลไปนะคะ
เพราะหมอจะมีกำหนดแล้วในใจถ้าคุณแม่ไม่คลอดตามกำหนดที่คาดการณ์ไว้
ก็จะมีวิธีการต่างๆ ในการจะทำให้เจ้าตัวเล็กออกมาดูโลก
ซึ่งก็ต้องแล้วแต่สถานการณ์ของคุณแม่แต่ล่ะท่าน
ซึ่งหมอก็จะทำการตรวจดู เช่น ถ้าปล่อยไว้ จะเป็นอันตรายหรือไม่ น้ำคร่ำจะแห้งหรือไม่ อื่น ๆ
โดยปกติแล้วก็จะมีการให้ยาเพื่อให้มดลูกหดตัว แล้วเข้าสู่กระบวนการคลอดตามธรรมชาติ
แต่ถ้าไม่สามารถคลอดได้เองก็คงต้องพึ่งเครื่องมือช่วย หรืออาจต้องผ่าท้องคลอด
อันนี้ก็ต้องคุยกับคุณหมอนะค่ะว่าจะใช้วิธีไหน
ไปซาวด์มาแล้วววว
อัลตราซาวด์ (Ultrasound) เป็นการตรวจวิเคราะห์โดยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง
โดยทำการส่งคลื่นเสียงความถี่สูง ส่งคลื่นเสียงผ่านหัวตรวจไปยังเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่ต้องการตรวจ
เมื่อคลื่นเสียงกระทบกับเนื้อเยื่อร่างกายต่างชนิดกัน ก็จะหักเหสะท้อนกลับมาต่างกันไป
และจะนำสัญญาณสะท้อนเหล่านี้แปลงเป็นสัญญาณภาพปรากฎบนจอ
โดยสำหรับทารกนั้น สามารถอัลตราซาวด์ เพื่อดูเพศได้ เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 20-22 สัปดาห์
แต่อาจจะเห็นเพศหรือไม่ก็ได้ ขึ้นกับท่าของลูกในขณะนั้น แต่นอกจากดูเพศแล้ว ก็ยังมีประโยชน์อื่น
คือสามารถดูพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์ ไม่ว่าจะเป็น การเคลื่อนไหว อากัปกริยา
รวมความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ เช่น แขนขา ครบหรือไม่ เป็นต้น
และแน่นอน เราก็ไปดูมาแล้ววววว ถ่ายมาหลายภาพ หลาย Act เลย อิอิ
แต่ยังไม่โชว์ทั้งหมด ขอแปะ Ultrasound 4D ให้ดูเล่น ๆ กันก่อน 1 รูป
ให้ทายกันเล่น ๆ ว่า ชาย หรือ หญิง ค่อยมาเฉลยวันหลังนะ
ทายกันเข้ามาก่อนล่ะ ไม่ทายไม่เฉลยด้วย
การเตรียมตัวก่อนจะมีเจ้าตัวน้อย
หลังแต่งงานก็ยังไม่ได้กำหนดว่าจะตั้งใจมีตัวเล็กเมื่อไหร่ เพราะยังมีภาระอย่างอื่นหลายอย่าง
แต่เมื่อมองดูอายุ ก็เริ่มมากขึ้น กลัวลูกจะไม่แข็งแรง เค้าว่าจะให้ดีต้องอยู่ในช่วง 20-30 ปี
ก็เลยตัดสินใจมี แต่ ที่ทำงานฉันท์ คนทำงานน้อย ต้องจัดคิวลาคลอด เพราะเดี๋ยวคนจะไม่พอ
ก็เลยได้ข้อกำหนดไปโดยไม่ต้องคิดมาก ก็เลยเริ่มมาเตรียมตัว บำรุงร่างกาย
เพราะน้ำหนักน้อย แล้วก็ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย แต่จริงๆ แล้วแข็งแรงนะ ไม่ค่อยป่วยกับเขาหรอก
อ่านเจอใน web และหนังสือต่าง ๆ (แอบอ่านฟรี อิอิ) ให้ทานอาหารที่มีโฟลิก (folic) เยอะๆ
เพราะจะช่วยป้องกันความพิการทางสมอง และหัวใจให้กับทารก
สามารถทานสะสมไว้ได้เลยก่อนตั้งครรภ์ 3 เดือน
ฉันท์ก็หาทานเพิ่ม จากอาหารที่ทานอยู่ทุกวัน ที่มีมากก็ผักใบเขียว บล๊อคเคอรี่ คะน้า ผลไม้
ตอนนั้นก็ทานบล๊อคเคอรี่ผัดกุ้ง คะน้าหมูกรอบ แล้วก็ผักอื่นๆอีก หมุนเวียนกัน
ติดกาแฟกะเค้าเหมือนกันเลยต้องเลิก แต่ตอนที่เตรียมตัวไม่ค่อยเข้มงวดเท่าไหร่ แอบกินบ้าง
แต่พอรู้ว่ามีตัวเล็กเข้าจริง ๆ ก็เลิกได้ไม่ยาก
โรคประจำตัวฉันท์ไม่มี ส่วนตูนเท่าที่ซักถามมาก็ไม่มีนะ โรคทางพันธุกรรมอย่างอื่นก็ไม่มีมาก่อน
แต่ถ้าเพื่อนๆ ไม่แน่ใจก็อาจจะไปหาหมอเพื่อขอตรวจร่างกายก่อนมีเจ้าตัวน้อยก็ดีนะ
ดิ้นแล้วววว .......
ฉันท์พูดถึงการดิ้นของลูกมาหลายครั้ง เราก็รีบเข้าไปจับ แต่ก็ไม่เคยทันซักที คงอายพ่อ (อิอิ)
เพิ่งจะมีเมื่อคืนนี้เอง ที่กำลังกอด นอนดูทีวีอยู่พอดี ก็รู้สึกถึงการดิ้น ดุ๊กดิ๊ก ของเจ้าตัวน้อย
โดยปกติสัปดาห์ที่ 10-14 ลูกจะเริ่มดิ้นแล้ว แต่แม่มักจะยังไม่รู้สึก
จะเริ่มรู้สึกในช่วงสัปดาห์ที่ 16-22 โดยส่วนใหญ่ มักจะรู้สึกในสัปดาห์ที่ 20 ในท้องแรก
หากเป็นท้องที่สอง จะรับรู้การดิ้นได้เร็วขึ้น ในสัปดาห์ที่ 16
การดิ้นของทารก ก็เหมือนคนเราทั่วไป หากแข็งแรงดี ก็มักจะไม่อยู่นิ่ง
ถ้าไม่สบาย จะนอนอยู่เฉยๆ ดังนั้น การดิ้นของลูก ก็เป็นสิ่งที่แม่ควรจะใส่ใจ
เพราะแสดงถึงการตอบสนอง และการตื่นตัวที่ดีของทารก
ปัจจัยที่มีผลต่อการดิ้น ก็เช่น ปริมาณน้ำคร่ำ เสียงภายนอก แสงภายนอก ท่าของมารดา และอื่น ๆ
หากทารกดิ้นน้อยเกินไป อาจเกิดปัญหาจากการขาดออกซิเจน หรือขาดอาหารก็เป็นได้
หากทารกดิ้นน้อยกว่า 4 ครั้ง ใน 6 ชม. หรือ น้อยกว่า 10 ครั้งใน 12 ชม. ควรพบแพทย์ทันที
บทเพลง กล่อมอารมณ์
พัฒนาการของทารก จะเริ่มมีการสร้างหูขึ้นมาตอน 18 สัปดาห์ แต่จะสร้างเสร็จสมบูรณ์
เมื่อ 24-26 สัปดาห์ แต่เสียงที่ทารกได้ยินนั้น จะไม่ชัดเจนเหมือนที่เราได้ยินหรอกนะครับ
เด็กจะได้ยินเสียงลักษณะเหมือนอยู่ในน้ำ คือจะอื้อ ๆ ก้อง ๆ หน่อย
แม้ว่าเจ้าตัวน้อย จะเริ่มมีการได้ยิน และตอบสนองกับเสียงภายนอกได้เมื่ออายุครรภ์ 5-6เดือน
แต่กระนั้น การที่เราเปิดเพลงฟังสบาย ๆ ให้ผู้เป็นแม่ฟัง ก็เป็นการกล่อมอารมณ์ของคุณแม่ไปด้วย
และเมื่อคุณแม่ มีสภาพอารมณ์ที่ดี ผ่อนคลาย มีความสุข
ก็ย่อมจะส่งผลดีต่อลูกน้อยเช่นกัน ในด้านการพัฒนาอารมณ์ และมีความสุขตามไปด้วย
แต่เมื่อลูกน้อย เริ่มตอบสนองต่อเสียงภายนอกแล้ว การที่เรายังคงเปิดเพลงฟังสบาย ๆ
ย่อมจะช่วยผ่อนคลายลูกน้อย รวมถึงเมื่อลูกน้อย เกิดออกมา
หากเราเปิดเพลงดังกล่าวซ้ำ ก็ย่อมจะช่วยให้ลูกน้อยผ่อนคลาย และหลับง่ายยิ่งขึ้น
เพลงที่เลือกฟัง ควรจะเป็นเพลงจังหวะเบา ๆ ที่นิยมก็คือประเภทเพลงบรรเลง
อาจจะเป็นเพลงบรรเลงทั่ว ๆ ไป หรือถ้าจะให้ดี ก็อาจจะเป็นเพลงประเภท Mozart
หรือเป็นเพลงสำหรับทารก โดยเฉพาะ ซึ่งหาได้ตามร้านขายแผ่น CD ทั่วไป
ซึ่งมักจะมีการเขียนสรรพคุณอ้างว่า ช่วยผ่อนคลาย ช่วยขับกล่อม ได้ดีไปต่าง ๆ นา ๆ
ซึ่งก็สามารถเลือกหาได้ตามใจชอบ แต่ทั้งนี้ เสียงเพลงที่เปิด ก็ไม่ควรดังจนเกินไปนัก
ระดับเสียงที่หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับฟัง ไม่เกิน 85 เดซิเบล
แต่ทั้งนี้ จะขอแสดงตัวอย่างให้ฟังกัน Online ซักเพลง สั้น ๆ ที่เราใช้อยู่ตอนนี้
เป็นเพลงของ Mozart baby song ที่ใช้ขับกล่อม ทารกในครรภ์
ถ้าอยากฟังเต็มเพลง ก็ ดาวน์โหลด กันได้เลยครับ
----- เนื่องจากเช็คดูแล้วพบว่า มีคนค่อนข้างสนใจเพลง จึงขอเอามาแนะนำเพิ่มอีก 2 เพลงครับ -----
Mozart 2 - ดาวน์โหลด
Mozart 3 - ดาวน์โหลด
เอามาฝากเพิ่มเติมกันแค่นี้ก่อนนะครับ ถ้าอยากได้เพิ่ม ก็ยังมีอีกเยอะนะครับ request ขอมาได้